Jürgen Guldner ให้สัมภาษณ์ว่า ในอีก 20 ปีข้างหน้า เชื้อเพลิงไฮโดรเจนจะทำให้รถของ BMW กลายเป็นรถที่ปลอดมลพิษ แต่มันยังจะไม่ใช่คู่แข่งของ BEV แต่จะเป็นตัวเลือกที่เพิ่มเข้ามา คล้ายกับรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน
"ในอีก 20 ปีข้างหน้า รถเซลล์เชื้อเพลิงจะช่วยเปลี่ยนรถของพวกเราให้กลายเป็นรถที่ปลอดมลพิษ FCEVs จะเป็นตัวเลือกหนึ่งสำหรับขุมพลังของรถยนต์ BMW เราไม่คิดว่ามันจะเป็นคู่แข่งของ BEV แต่จะเป็นการเพิ่มตัวเลือกให้ผู้บริโภคมากกว่า"
ภาพเรนเดอร์ BMW i4 อ้างอิงจากคอนเซปต์ source: Ben Summerell-Youde/Fox-Syndication : Car and Driver อีก 5 ปีข้างหน้า "รถไฮโดรเจน จะถูกกว่ารถน้ำมัน"
ยอดขายของ Toyota Mirai ในเจเนอร์เรชันแรกที่ไม่ค่อยจะประสบควาสำเร็จเท่าที่ค่ายแพลนเอาไว้ คงจะสะท้อนให้เห็นถึงการไม่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเท่าที่ควร ทั้งจำนวนสถานีไฮโดรเจนที่ไม่ครอบคลุม และราคาของรถประเภทนี้ที่ค่อนข้างสูง อย่างที่สหรัฐอเมริกา Toyota Mirai ตั้งราคาขายเอาไว้ที่ 58,500 ดอลาร์สหรัฐ (ราว 1.8 ล้านบาท)
ซึ่งราคานี้สามารถซื้อทั้ง Toyota Prius และ Camry Hybrid พร้อมกันได้ถึง 2 คัน (แถมยังได้ตังทอนอีก 70,000 กว่า!!) Toyota Mirai เจเนอร์เรชั่น 2 เตรียมเปิดตัวปลายปี 2020 แม้ราคาของรถเซลล์เชื้อเพลิงในปัจจุบันจะจัดอยู่ในขั้นที่เรียกว่ามหาโหด แต่ Guldner มองว่าในอีก 5 ปีข้างหน้ารถยนต์กลุ่มนี้จะมีราคาถูกกว่ารถเครื่องยนต์สันดาป หรือรถน้ำมันอย่างแน่นอน ทั้งนี้มาจากการทุ่มเทในการวิจัยและพัฒนาตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และการหาวัตถุดิบอื่นมาทดแทนไทเทเนียมที่กำลังลดลง และมีราคาสูงขึ้น
“ปี 2025 เป็นอย่างช้าที่สุด หากคุณดูที่โครงการต่างๆ ซึ่งถูกตีพิมพ์ในญี่ปุ่นและเกาหลี มันแสดงให้เห็นว่า มีโอกาสที่รถไฮโดรเจน จะสามารถแข่งขันกับรถในปัจจุบันได้”
นอกจากราคาแล้ว Guldner ยังคาดการณ์อีกว่า รถยนต์ไฮโดรเจนจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเพราะจำนวนสถานีไฮโดรเจนจะเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าภายในปี 2025. "ตอนนี้สถานีไฮโดรเจนยังคงหาได้ยาก แต่ในอนาคตมันจะเพิ่มขึ้นอย่าต่อเนื่อง ทั้งที่ญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมนี และแคลิฟอร์เนีย ผมคิดว่าจำนวนที่เพียงพอจะอยู่ราวๆ 800-1,000 แห่ง ตอนนี้ที่เยอรมนีมีสถานีไฮโดรเจนอยู่ 80 แห่งด้วยกัน แต่ทางรัฐบาลมีแผนจะเพิ่มเป็น 250-400 แห่งในปี 2025"
2020 Honda Clarity Fuel Cell รถพลังงานไฮโดรเจนอีกรุ่น ที่ทำตลาดในสหรัฐอเมริกา ทั้งปัญหาโลกร้อน มลพิษทางอากาศ คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้บีบบังคับให้ค่ายรถยนต์ต้องมีการปรับตัว ด้วยการพัฒนาเครื่องยนต์ที่ปล่อยมลพิษน้อยลงเรื่อยๆ ผ่านทางนโยบายทางด้านสิ่งแวดล้อมในหลายประเทศ